สิ่งแวดล้อมและพลังงาน
การกำจัดขยะมูลฝอยเพื่อผลิตพลังงาน
1. บทนำ
จากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ ในปี พ.ศ. 2551 ประเทศไทยมีขยะมูลฝอยชุมชนที่เก็บขนได้ทั่วประเทศประมาณ 15.04 ล้านตัน/ปี หรือ 41,213 ตัน/วัน เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2550 ประมาณ 0.32 ล้านตัน หรือร้อยละ 2.18 ซึ่งขยะมูลฝอยที่ได้รับการกำจัดอย่างถูกหลักสุขาภิบาล มีเพียงร้อยละ 37 โดยอยู่ในพื้นที่เขตเมือง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และเขตเทศบาลบางพื้นที่ ส่วนขยะมูลฝอยที่เหลือประมาณร้อยละ 63 ยังไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ส่วนใหญ่ถูกนำไปเทกองทิ้งไว้ นำไปฝังในหลุม หรือเผากลางแจ้ง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตามมา เช่น กลิ่นรบกวน น้ำชะขยะปนเปื้อนแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ รวมทั้ง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์และพาหะนำโรค ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้งสิน
เมื่อพิจารณารูปแบบวิธีการกำจัดขยะที่มีอยู่ในปัจจุบัน สามารถจำแนกได้เป็น 3 ประเภทหลัก คือ การทำปุ๋ยหมัก การฝังกลบ และการเผา พบว่าการหมักทำปุ๋ยสามารถกำจัดได้เฉพาะขยะอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้เท่านั้น และยังมีกากเหลือที่ต้องนำไปกำจัดต่อไป ส่วนการฝังกลบนั้น แม้จะดำเนินการด้วยวิธีที่ถูกต้องเหมาะสม แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากประชาชนค่อนข้างสูง โดยมักมีข้อจำกัดในการจัดหาพื้นที่ที่มีการต่อต้านของชุมชนโดยรอบเสมอ
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น ปริมาณและองค์ประกอบขยะ เทคโนโลยี การลงทุน ความพร้อมของหน่วยงานที่รับผิดชอบและข้อจำกัดของพื้นที่ ซึ่งระบบกำจัดขยะที่ดีมักเป็นแบบผสมผสาน เช่นการหมักทำปุ๋ย ระบบผลิตเชื้อเพลิงขยะ ระบบเผาเพื่อผลิตไฟฟ้า และระบบ ฝังกลบเถ้า เป็นต้น
2. เทคโนโลยีการกำจัดมูลฝอยเพื่อผลิตพลังงาน (WTE Technology)
เทคโนโลยีซึ่งเป็นที่ยอมรับและมีการนำมาใช้งานแล้วอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน สามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มดังนี้
2.1 กระบวนการทางชีว-เคมี (Bio-Chemical Process) ซึ่งอาศัยจุลิทรีย์ในการย่อยสลายขยะมูลฝอย พลังงานที่ได้รับจะอยู่ในรูปของก๊าซชีวภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นก๊าซเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานต่อไป
2.2 กระบวนการทางความร้อน-เคมี (Thermo-chemical Process) หรือกระบวนการทางความร้อน ตามคำจำกัดความของสหภาพยุโรป หมายถึงการกำจัดขยะมูลฝอยโดยใช้ความร้อนเพื่อฆ่าเชื้อ ลดมวลปริมาตร ก่อนที่จะนำไปกำจัดขั้นสุดท้าย
3. เทคโนโลยีความร้อน (Thermal Technology)
กระบวนการทางความร้อน ต้องอาศัยความร้อนจากแหล่งภายนอก ช่วยให้ขยะมูลฝอยเกิดปฏิกิริยาการแตกสลายด้วยความ อย่างต่อเนื่อง โดยประสิทธิภาพของระบบขึ้นอยู่กับความสามารถในการเผาทำลายและเปลี่ยนรูปพลังงานความร้อนที่ได้จากการเผาไปใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้า หรือเป็นพลังงานรูปแบบอื่นได้ ได้แก่ ระบบเตาเผา และระบบห้องเผาไหม้โดยใช้ก๊าซเชื้อเพลิงสังเคราะห์
3.1 ระบบเตาเผาแบบมวลรวม (Incineration)
กระบวนการเผาไหม้โดยตรง เป็นการทำลายขยะมูลฝอยโดยการลดมวลและปริมาตร ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นระหว่างเชื้อเพลิงและออกซิไดเซอร์ ได้เป็นพลังงานความร้อน สามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบดังนี้
1. ระบบเผาไหม้โดยตรงหรือระบบเผาไหม้มวล เป็นการเผาทำลายขยะมูลฝอยในสภาพที่รับเข้ามาโดยไม่ต้องมีกระบวนการจัดการเบื้องต้นก่อน
2. ระบบที่มีการจัดการเบื้องต้น ซึ่งต้องมีระบบเพื่อการลดขนาด การบดตัด และการคัดแยก ซึ่งรวมถึงระบบผลิตเชื้อเพลิงจากขยะก่อนป้อนเข้าสู่ห้องเผา
3.2 กระบวนการผลิตก๊าซเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (Synthesis Gas)
กระบวนการเผาไหม้โดยใช้ก๊าซเชื้อเพลิงสังเคราะห์ เป็นการสร้างอุณหภูมิสูงมากเพื่อทำให้วัตถุตั้งต้นที่เป็นสารอินทรีย์แตกตัวเป็นอนุภาคของก๊าซ จำแนกออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ก๊าซซิฟิเคชั่น (Gasification) เป็นกระบวนการผลิตก๊าซเชื้อเพลิงจากขยะ โดยปฏิกิริยาสันดาปแบบไม่สมบูรณ์ ระหว่างสารอินทรีย์ในขยะกับอากาศ ได้พลังงานความร้อนใช้ในปฏิกิริยาการเกิดก๊าซเชื้อเพลิง
2. ไพโรไรซิส (Pyrolysis) เป็นกระบวนการสังเคราะห์เชื้อเพลิงแข็งให้กลายเป็นเชื้อเพลิงเหลว และเชื้อเพลิงก๊าซ โดยเกิดปฏิกิริยาภายใต้สภาวะไร้อากาศหรือออกซิเจน และให้พลังงานความร้อนจากแหล่งภายนอก ในการแตกตัวของพันธะโมเลกุลเชื้อเพลิง ที่อุณหภูมิ ประมาณ 400-800 องศาเซลเซียส
4. สรุป
โดยทั่วไปในประเทศที่กำลังพัฒนาพฤติกรรมขององค์กรที่รับผิดชอบการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนมักพิจารณาจากความเป็นไปได้ทางด้านการเงินเพื่อการตัดสินใจลงทุนโครงการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นหลัก โดยพิจารณาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องรองลงมา การบริหารจัดการขยะมูลฝอยจำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจในแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบของผู้บริหารองคฺกรของรัฐที่มีต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการคัดเลือกวิธีการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนที่เหมาะสม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น